วันพุธที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2555

>> 'โมบายเบิร์น' พิชิตขยะ


"หลากหลายไอเดียกับการกำจัดขยะหลังน้ำลด สิงห์ อินทรชูโต เจ้าของไอเดียเสกขยะให้เป็นเงิน เลือกเปลี่ยนโฉมถุงพลาสติกบรรจุทรายให้เป็นเฟอร์นิเจอร์"





         ทันทีที่เตาเผาขยะไร้มลพิษ บรรทุกบนรถพ่วง 18 ล้อ บุกเข้าไปถึงหมู่บ้าน ส.ภาณุรังษี อ.บางกรวย จ.นนทบุรี กองขยะมหึมาค่อยๆ ทลายลง จุดความหวังของคนในชุมชน ที่ไม่ต้องตั้งตารอรถเก็บขยะเพียงอย่างเดียว         หลากหลายไอเดียกับการกำจัดขยะหลังน้ำลด "สิงห์ อินทรชูโต" เจ้าของไอเดียเสกขยะให้เป็นเงิน เลือกเปลี่ยนโฉมถุงพลาสติกบรรจุทรายให้เป็นเฟอร์นิเจอร์ชิ้นสวย "สมไทย วงษ์เจริญ" ราชาขยะรีไซเคิล ช่วยลดปริมาณขยะผ่านธุรกิจรับซื้อของเก่าและขยะรีไซเคิล ส่วน "นพดล โปธิตา" นักธุรกิจเมืองเหนือ ปฏิวัติแนวทางกำจัดขยะด้วยนวัตกรรม "โมบาย เบิร์น"

: เคลื่อนเข้าหาเป้าหมาย
          ภาพความสำเร็จของเตาเผาไร้มลพิษระบบก๊าซซิฟิเคชั่น เกิดขึ้นชัดเจนช่วง 3 ปีก่อนในหลายจังหวัด โดยฝีมือการพัฒนาของ นพดล โปธิตา กรรมการผู้จัดการบริษัท เชียงใหม่ เอ็นไวรอนเม้นท์ โปรเทค จำกัด จนกลายเป็นแหล่งกำจัดขยะสำคัญให้กับแหล่งท่องเที่ยวกว่า 20 แห่ง เช่น เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี เกาะภูเก็ต และขอนแก่น
          จุดเด่นอยู่ที่ประสิทธิภาพสามารถกำจัดขยะได้ 3-5 ตันต่อวัน กินพลังงานต่ำ และไม่ก่อให้เกิดมลพิษ ขณะที่ "โมบาย เบิร์น" เป็นนวัตกรรมที่ต่อยอดมาจากเตาเผาเดิม แต่ออกแบบให้ใช้งานได้มากขึ้น และลดข้อจำกัดด้านการขนส่ง
          "ครั้งนี้เราได้ต่อยอดเทคโนโลยีโดยเปลี่ยนความคิดไปจากเดิม ที่ต้องขนส่งขยะมาหาเตาเผาเพื่อกำจัด เป็นเตาเผาเคลื่อนไปถึงแหล่งที่มาของขยะแทน"
          จากปริมาณขยะในช่วงปกติที่มีมากถึง 14 ล้านตันต่อปี สวนทางกับศักยภาพในการกำจัดขยะในปัจจุบันอยู่ที่ 6-7 ล้านตันต่อวัน ขยะจึงยังเป็นปัญหาใหญ่ของสังคมไทย ซึ่งการฝังกลบยังไม่ใช่คำตอบสุดท้าย  
 ในช่วงเวลาปกติ คนเราผลิตขยะเฉลี่ยคนละครึ่งกิโลกรัมต่อวัน ไม่รวมขยะจำนวนมหาศาลที่เพิ่มขึ้นหลังเหตุการณ์น้ำท่วม โดยภาระในการกำจัดยังเป็นเรื่องของชุมชน 
  

: เทคโนโลยีเพื่ออนาคต
          เทคโนโลยีเตาเผาเพื่อสิ่งแวดล้อมนี้ ออกแบบให้ลดการปลดปล่อยก๊าซพิษ ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของการกำจัดขยะด้วยวิธีการเผา โดยนำเทคโนโลยีดักจับฝุ่น ชุดกรองสารพิษ ใส่ไว้ในเตาเผา ตลอดจนกระบวนการเผาที่ใช้อุณหภูมิสูงถึง 800 องศาเซลเซียส ทำให้ก๊าซคาร์บอนมอนออกไซด์ไม่หลุดรอดออกไปในอากาศ ซึ่งการันตีได้ด้วยการรับรองมาตรฐานจากกรมควบคุมมลพิษ
          "ถ้าแนวคิดการกำจัดขยะชุมชนทำได้สำเร็จ โดยกระจายไปตั้งอยู่ในชุมชนต่างๆ เชื่อว่าการกำจัดขยะในอนาคตจะทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ขยะทุกชนิดที่ใส่ลงในเตาเผา โมบาย เบิร์น 100% จะเหลือออกมาเป็นขี้เถ้า 10%  ซึ่งสามารถนำไปผสมในอิฐหรือปูนซีเมนต์ก็ได้" นพดลกล่าว
          นอกจากนี้ ในอนาคตตัวเขาเองยังมีแนวคิดที่จะขยายประสิทธิภาพการกำจัดขยะ ให้รองรับปริมาณขยะได้มากกว่าเดิมถึง 10 ตันต่อวัน พร้อมทั้งเพิ่มระบบแปลงพลังงานที่ได้จากการเผาขยะเป็นก๊าซหุงต้ม เพื่อนำพลังงานที่ได้มาใช้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
 

: หนทางสู่ความสำเร็จ
          เส้นทางแห่งความสำเร็จไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะกว่าที่จะได้ต้นแบบเตาเผาไร้มลพิษ นพดล ได้ลองผิดลองถูก หมดเงินทุนไปกว่า 7 หลัก แต่เพราะความมุ่งมั่น และใจรักที่จะแก้ปัญหาขยะในชุมชน นำไปสู่การพัฒนาเทคโนโลยีที่ชี้ให้เห็นว่าสามารถทำได้จริง จนได้รับการสนับสนุนต่อยอดนวัตกรรมจาก สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.)
          นพดล มองว่า กลไกการสนับสนุนจากภาครัฐมีส่วนช่วยให้การพัฒนานวัตกรรมเดินไปสู่ความสำเร็จได้ ทั้งการสนับสนุนในรูปแบบเงินทุนกว่า 1 ล้านบาท การสนับสนุนด้านวิชาการ ตลอดจนการเผยแพร่นวัตกรรมออกไปสู่วงกว้าง
          ปัจจุบันเตาเผาขยะไร้มลพิษของบริษัท เชียงใหม่ เอ็นไวรอนเม้นท์ โปรเทค ได้รับการสนับสนุนเพิ่มเติมจาก บริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) ในโครงการผลิตโมบายเบิร์น 10 เครื่อง เพื่อใช้ในโครงการจิตอาสากำจัดขยะชุมชนเขตปริมณฑล ภารกิจหลัก คือ กำจัดขยะจากบ้านเรือนที่เพิ่มขึ้นมหาศาลหลังเหตุการณ์น้ำท่วม
         ทั้งนี้ องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ของชุมชนที่ต้องการใช้บริการรถโมบายเบิร์นนี้ จะต้องคัดแยกขยะก่อน เนื่องจากขยะบางประเภทไม่สามารถเผาได้ เช่น ขวดแก้ว เศษโลหะ และแบตเตอรี่ จากนั้นจึงนำขยะที่ต้องการเผามากองไว้ในบริเวณที่รถโมบายเบิร์นสามารถไปจอดได้ หาก อบต.ใดสนใจจะใช้บริการ สามารถสอบถามผ่านคอลล์เซ็นเตอร์ โทรศัพท์ 08-9371-9555 วันเวลาราชการ
          นพดล เชื่อว่า ผลของโครงการดังกล่าว จะช่วยให้คนได้เห็นถึงศักยภาพของนวัตกรรมที่สร้างจากฝีมือคนไทย และการใช้ประโยชน์เพื่อกำจัดขยะชุมชนได้ในอนาคต
โดย : จุฑารัตน์ ทิพย์นำภา

วันอาทิตย์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2555

Tip-Trick :)


>> บริหารนิ้วเมื่อต้องคลิกเม้าส์เป็นประจำ

H-healthytips-3
        สาวๆ เวิร์คกิ้งวูแมน ทั้งหลาย ที่ต้องนั่งทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เป็นประจำ ต้องประสบกับปัญหานี้แน่นอน นั่นก็คือปวดเมื่อยนิ้ว เนื่องจากคลิกเม้าส์เป็นเวลานาน อาจจะทำให้กล้ามเนื้อบริเวณนิ้วนั้นตึงจนเกินไป มาลองดูวิธีคลายปวดเมื่อยที่เอามาฝากในครั้งนี้กันดีกว่าค่ะ จะได้ไม่ต้องทนปวดเมื่อยและช่วยคลายกล้ามเนื้อที่ตึงได้อีกด้วย
        เมื่อรู้สึกเมื่อยหรือเริ่มชาที่บริเวณนิ้ว ข้อมือ มือ หรือแขน ให้พักการใช้เม้าส์ หรือลดการใช้เม้าส์ ยืดกล้ามเนื้อโดยการกำมือสลับกับแบมือช้าๆ หรืออาจจะหาลูกดิ่งมาเล่น การเล่นลูกดิ่งเป็นการช่วยคลายกล้ามเนื้อที่ตึงให้คลายตัวได้เช่นกัน เพราะนิ้ว ข้อมือ มือ และแขน จะได้ขยับและเคลื่อนไหวทำให้กล้ามเนื้อนั้นคลายตัวลง อาการปวดเมื่อยก็จะค่อยๆ หายไปค่ะ

News :)


>> เตือน!! 

วางโน๊ตบุ๊คบนตักเสี่ยงมะเร็ง

คอมพิวเตอร์ โน๊ตบุ๊ค


         ปัจจุบัน แล็ปท็อป หรือ โน๊ตบุ๊ค กลายเป็นอุปกรณ์สุดไฮเทค ที่จำเป็นสำหรับวัยรุ่นหรือหนุ่มสาววัยทำงานหลายคนไปซะแล้ว นับตั้งแต่คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตเข้ามามีบทบาทกับเรา ๆ ไปซะทุกด้าน และโน๊ตบุ๊คก็ดูเหมือนจะเป็นคอมพิวเตอร์ที่แสนฮิตฮอตซะเหลือเกิน เพราะมันสามารถพกพาไปไหนได้สบาย 

         และด้วยความสะดวกสบาย พกพาง่ายของมันนี่แหละ ทำให้เจ้าโน๊ตบุ๊คสามารถเล่นได้ทุกที่ทุกเวลา แม้จะไม่มีโต๊ะให้วาง ก็วางบนตักของตัวเองได้อย่างง่าย ๆ พอ ๆ กับที่มันก็ทำให้เกิดอาการปวดแสบปวดร้อนขึ้นมาได้อย่างง่าย ๆ อีกเช่นกัน
         ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าการเล่นโน๊ตบุ๊คบนตักนั้น ทำให้คนเจ็บป่วยกับมันได้จริง ๆ เหมือนกับกรณีของเด็กชายวัย 12 ปีชาวอเมริกัน ที่ติดนิสัยชอบเล่นโน๊ตบุ๊คไว้บนตัก แล้วอยู่กับมันวันละ 2-3 ชั่วโมง ปรากฏว่า 2 เดือนให้หลัง ผิวของเด็กก็ไหม้และด่างโดยไม่รู้ตัวเลยทีเดียว 
         นอกจากนี้ ยังมีผู้ใช้โน๊ตบุ๊คอีกกว่า 10 ราย รายงานเข้ามาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2007 ว่าความร้อนจากโน๊ตบุ๊ค ทำให้ผิวไหม้และทำให้ผิวด่างเช่นเดียวกันกับกรณีดังกล่าว ขณะที่ทางทีมแพทย์เชื่อว่า คงจะมีผู้ที่ได้รับอันตรายจากความร้อนใต้โน๊ตบุ๊คมากกว่านั้นอย่างแน่นอน

         งานนี้ บรรดาแพทย์ชาวอเมริกันก็เลยออกมาเตือนว่า ความร้อนที่ระบายออกมาบริเวณใต้โน๊ตบุ๊คนั้น ทำให้ผิวไหม้และหากติดนิสัยเล่นโน๊ตบุ๊คบนตักนาน ๆ ก็จะทำให้เป็นมะเร็งบริเวณหัวเข่าหรือต้นขาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึงในไม่ช้านี้ ที่หลายคนชอบเอาโน๊ตบุ๊ควางบนตักซะเหลือเกิน เพราะมันทำให้รู้สึกอุ่นขึ้นได้ โดยไม่คำนึงถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้น แพทย์จึงแนะนำให้ผู้ที่ชอบวางโน๊ตบุ๊คไว้บนตัก เปลี่ยนพฤติกรรมตัวเองเสียตั้งแต่บัดนี้ ขณะที่ทางด้านบริษัทผู้ผลิตคอมพิวเตอร์อย่างแอปเปิ้ล และเดลล์ ก็เคยเตือนผู้ใช้ว่าอย่าวางโน๊ตบุ๊คไว้บนตักเช่นกัน ทั้งนี้ ก็เพียงแค่อยากให้ผู้ใช้ได้ตระหนักถึงอันตรายระยะยาว ซึ่งอาจจะทำให้เกิดมะเร็งได้ในอนาคต

Rude Girl ♥